ในปัจจุบันนี้ เป็นที่รู้กันดีว่า สื่อโฆษณาที่เป็นวีดีโอ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นที่นิยมของคนจำนวนมาก เห็นได้จากจำนวนคนที่เข้ามาใช้งาน Youtube และการเติบโตของจำนวนวีดีโอที่ถูกโพสลง Facebook โดยตรง
จึงไม่แปลกเลยที่หลายคนจะเริ่มสับสน ว่าควรเลือกซื้อโฆษณาจากที่ไหนดี? เพื่อให้การทำ Online marketing เห็นผลมากที่สุด เพราะโดยปกติแล้วไม่ว่า ‘แบรนด์’ ไหนๆ ก็ต้องการให้วิดีโอโฆษณาของตัวเองถูกพบเห็นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยกันทั้งนั้น
Video ad ของใคร เหมาะทำ Online marketing
ส่วนคำถามที่ว่า ควรเลือกซื้อโฆษณาของใครดี? จึงขึ้นอยู่กับว่า Video ads ของช่องทางนั้นๆ สามารถตอบโจทย์ของคุณได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าคุณต้องการเน้นเรื่องจำนวนวิว Facebook auto play video ads ก็ย่อมจะตอบโจทย์คุณได้ดีกว่า เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกช่องทางไหน ก็อย่าลืมคิดถึงปัจจัยในด้านต่างๆ ให้รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น วิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย หรือวิธีการที่ผู้ชมจะ engage กับวิดีโอตัวนั้น เพื่อให้การทำ Online marketing ของคุณสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจ
และสำหรับปัจจัยตัวแรก อย่าง Audience หรือผู้ชม
คนส่วนใหญ่ที่เข้ามา Youtube ก็ตั้งใจมาดูคลิปวีดีโอกันอยู่แล้ว ส่วนคนที่เข้ามา Facebook นั้น ส่วนใหญ่จะไม่ได้ตั้งใจเข้ามาดูวิดีโอ ดังนั้นถ้า video ad ของคุณต้องใช้ ‘เสียง’ เป็นหลักหรือต้องเปิดฟังถึงจะเข้าใจ การลงทุนกับฝั่ง Youtube ค่อนข้างจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่า แต่ถ้าคุณวางแผนไว้ว่าต้องการจะสื่อสารผ่านทั้ง 2 ช่องทาง การใช้คลิปวิดีโอแบบที่ไม่ต้องฟังเสียงเป็นหลัก แค่มองภาพก็เข้าใจหรือมี subtitle ประกอบก็พอจะช่วยได้เช่นกัน ในกรณีที่คุณต้องการนำคลิปเดียวกันมาใช้ลงทุนกับทำโฆษณาผ่าน Facebook ด้วย
ส่วนปัจจัยที่ 2 อย่างกลุ่มเป้าหมาย หรือ Targeting
Facebook ค่อนข้างระบุกลุ่มเป้าหมายได้ดีและละเอียดกว่า Youtube มาก เพราะโดยปกติแล้ว การใช้งานเฟซบุ๊คนั้นต้องมีการ log in ก่อนเสมอ ดังนั้นการทำโฆษณาจึงสามารถระบุ เพศ อายุ การศึกษา ความสนใจ รวมไปถึง location ที่ผู้ใช้งานอยู่อาศัยอยู่ได้ ทั้งหมดนี้จึงถือว่าเป็นจุดแข็งมากๆ สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของ Facebook
ส่วน YouTube ผู้ชมไม่จำเป็นต้อง log in ก็สามารถเข้ามาใช้งานได้ การระบุกลุ่มเป้าหมายจึงใช้วิธีการเดียวกับการซื้อแบนเนอร์โฆษณา GDN (Google display network) ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ ที่ Google เก็บไว้ เช่น อายุโดยประมาณ รวมถึงความสนใจต่างๆ โดยการประเมินจากเว็บไซต์ที่เราเคยเข้าชม แต่ก็เป็นวิธีที่แม่นยำน้อยกว่า Facebook และอาจมีความผิดพลาดได้
ดังนั้น ถ้าเป้าหมายของเรา คือต้องการทำการตลาดที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย การลงทุนกับ Facebook ค่อนข้างจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่ Youtube ก็มีข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ โฆษณาวิดีโอที่เราซื้อ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนแพลตฟอร์มของ YouTube เสมอไป แต่สามารถไปปรากฎบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอของเราได้ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ Facebook ยังไม่มี
ทั้ง YouTube และ Facebook จึงถือว่าเป็นช่องทางทำ Online marketing ที่มีจุดแข็งเป็นของตัวเองทั้งคู่และมีข้อได้เปรียบที่ต่างกันไป ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันจากทั้ง 2 ช่องทางได้ ก็จะช่วยให้การทำการตลาดของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นอย่างแน่นอน หรือในกรณีที่คุณยังไม่มั่นใจและต้องการข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมก็สามารถปรึกษากับทาง Kinnovation ของเราได้เช่นกัน
Copyright @2016 K Innovation.co.th All rights reserved